ในบทความ “หนังสืออินตก”
ผมได้เสนอไปแล้วว่า พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ “คิดไม่เป็น” เอาแต่ “เชื่อลูกเดียว” เท่านั้น
ซึ่งจะก่อให้เกิดความซวยติดตัวไปหลายภาพหลายชาติ เพราะ
เป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์
เมื่อค้นคว้าเรื่องทำนองนี้มากๆ เข้าในอินเตอร์เน็ต
ผมก็ยิ่งอเนจอนาถใจกับคนไทยกลุ่มหนึ่งมากขึ้นไปอีก เพราะ
มีการนำเรื่องนี้ไปลงในเว็บต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย
เป็นการคัดลอกเพื่อแสดงความโง่ของคนลอกเท่านั้น
กล่าวคือ
ไม่ได้มีการวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์เพื่อชี้นำสังคมแต่ประการใด
เป็นการคัดลอกเพื่อเผยแพร่ความโง่แต่เพียงอย่างเดียว
ลอกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตะวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย
โดยคณะทูตไทย
ที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๘๕ ตามคำแปลเป็นภาษาไทย
ว่าดังนี้..
|
เรื่องก็มั่วตั้งแต่ต้นเรื่องเลย “มหาวิหารเจตมหาเชตะวัน ณ สวนมฤคทายวัน”
มันมีอยู่หรือเปล่า ค่อนข้างเป็นที่น่าสงสัย แต่ไม่น่าจะมี เพราะ
ในยุคของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีการบันทึกลงในศิลาจารึก
พระไตรปิฎกนั้น ท่องกันมาถึง 500 ปี
จึงได้มีการเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วก็น่าจะบันทึกลงใน ใบไม้ตระกูลปาล์ม
การที่ว่าลอกมาจากศิลาจารึกจึงเป็นเรื่องของการแหกตาค่อนข้างแน่นอน
การที่มีเรื่องคณะทูตไทยเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพื่อเป็นการสร้างเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือ
สำนวนอื่นๆ ไม่มีเรื่องของคณะทูตไทย
สาธุ
อะระหังตา สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณา
สรรพสัตว์ทั่วโลก
ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบาก ทั่วหน้า
ทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติ
เมื่ออาตมาเข้าพระนิพพาน
ไปแล้วครบ ๕,๐๐๐ ปี เป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้จะถึง จำนวนที่ตถาคตทำนายไว้
|
ตรงนี้
คำเรียกตัวเองของพระพุทธเจ้าก็ “มั่ว” แล้ว
คำว่า “อาตมา” นั้น เป็นคำเรียกตัวเองของพระไทย พระพุทธองค์จะทรงเรียกตัวเองว่า “ตถาคต” นี่ก็เริ่มมั่วแล้ว
สองพันห้าร้อยปี
มนุษย์ และสัตว์ จะได้รับภัยพิบัติครั้งหนึ่งในระยะ ๓๐ ปี
สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะเจอจะได้เห็น
ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาบให้หลับจะตื่น ขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก
|
ตรงนี้
สงสัยจะอ่านนิทานมากไปหน่อย
มันมีที่ไหนในศาสนาพุทธที่มีการสาปยักษ์ให้เป็นหิน เรามีแต่คำสาปแช่ง
ซึ่งก็เป็นเรื่องของคนธรรมดา พระพุทธองค์ไม่เคยทรงสาปแช่งใคร
แล้วยักษ์หินที่มันถูกสาปอยู่ มันออกจากคำสาปมาได้ยังไง ก็น่าจะบอกเหตุผลให้รู้กันมั่ง
ใกล้กับ
พ.ศ. ๒๕๐๐ ยิ่งทวีกันใหญ่ ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกศาสนา จะรบราฆ่าฟันกัน
จนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน
พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ
ต่างฝ่ายต่างทำลาย
เหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟ จะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่ง
จึงจะเลิกล้ม
ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนา
ซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต
|
อันนี้
น่าจะเขียนขึ้นภายหลัง โดยคนเขียนหมายถึง สงครามโลกครั้งที่ 1 กับ ครั้งที่ 2
ซึ่งก็เขียนไม่ตรงกับความจริง
วิกิพิเดียบอกว่า
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้คนตายประมาณ 40 ล้านคน สงครามโลกครั้งที่สองประมาณ 40 - 70 ล้านคน ไม่ได้ตายกันถึงครึ่ง และฝ่ายชนะก็ไม่ได้หมดกำลัง
สงครามโลกครั้งที่สอง
ทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเกิดใหม่
ส่วนพุทธศาสนิกชน
ผู้ที่ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคต สามารถระงับร้อนไม่รุนแรง
บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ ผ้ากาสาวพัสตร์
ก็จะรับภัยอันตรายเบาบาง
|
ตรงนี้ก็เพี้ยนไปอีกแล้ว
มั่วไปอีกแล้ว
พระพุทธองค์จะทรงไปสนับสนุนการบูชาพระโพธิสัตว์ในสมัยที่พระองค์เผยแพร่ศาสนาอยู่ได้อย่างไร
และผ้ากาสาวพัสตร์ จะช่วยให้ภัยอันตรายเบาบางไปได้อย่างไร
ถ้าเป็นเสื้อเกราะ
ก็ว่าไปอีกเรื่องหนึ่ง
แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น
ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก
สมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า
เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ
|
ตรงนี้ก็มั่วไปอีก ตกลงคนเขียนจะเอายังไงกันแน่
สงครามนั้นไม่ใช่ภัยธรรมชาติ
ที่บรรยายมานั้น เป็นภาพการทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน เป็นภาพของเรือดำน้ำ
พญานาคจะพ่นพิศเป็นเพลง
ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง
สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด
ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้า
|
ผมนี่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับพญานาคพอสมควร
ก็ยังไม่รู้ว่า พญานาคท่านไปเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ถึงจะได้พ่นพิษออกมาเป็นเพลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น