บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

คำทำนายจากศิลาจารึก[01]


ในบทความ “หนังสืออินตก” ผมได้เสนอไปแล้วว่า พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่  คิดไม่เป็น”  เอาแต่ เชื่อลูกเดียวเท่านั้น

ซึ่งจะก่อให้เกิดความซวยติดตัวไปหลายภาพหลายชาติ เพราะ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์

เมื่อค้นคว้าเรื่องทำนองนี้มากๆ เข้าในอินเตอร์เน็ต ผมก็ยิ่งอเนจอนาถใจกับคนไทยกลุ่มหนึ่งมากขึ้นไปอีก เพราะ มีการนำเรื่องนี้ไปลงในเว็บต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย

เป็นการคัดลอกเพื่อแสดงความโง่ของคนลอกเท่านั้น 

กล่าวคือ ไม่ได้มีการวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์เพื่อชี้นำสังคมแต่ประการใด  เป็นการคัดลอกเพื่อเผยแพร่ความโง่แต่เพียงอย่างเดียว

ในการวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนนี้ ผมนำมาจากบทความ “คำทำนายจากศิลาจารึก” จากเว็บของหนังสือพิมพ์พุทธธรรม

ลอกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตะวัน  ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

โดยคณะทูตไทย ที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ  เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕  ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้..

เรื่องก็มั่วตั้งแต่ต้นเรื่องเลย “มหาวิหารเจตมหาเชตะวัน  ณ สวนมฤคทายวัน” มันมีอยู่หรือเปล่า ค่อนข้างเป็นที่น่าสงสัย แต่ไม่น่าจะมี เพราะ ในยุคของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีการบันทึกลงในศิลาจารึก

พระไตรปิฎกนั้น ท่องกันมาถึง 500 ปี จึงได้มีการเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วก็น่าจะบันทึกลงใน ใบไม้ตระกูลปาล์ม

การที่ว่าลอกมาจากศิลาจารึกจึงเป็นเรื่องของการแหกตาค่อนข้างแน่นอน

การที่มีเรื่องคณะทูตไทยเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพื่อเป็นการสร้างเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือ สำนวนอื่นๆ ไม่มีเรื่องของคณะทูตไทย

สาธุ อะระหังตา  สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณา สรรพสัตว์ทั่วโลก  ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบาก  ทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติ

เมื่ออาตมาเข้าพระนิพพาน ไปแล้วครบ ๕,๐๐๐ ปี เป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้จะถึง จำนวนที่ตถาคตทำนายไว้

ตรงนี้ คำเรียกตัวเองของพระพุทธเจ้าก็ “มั่ว” แล้ว  คำว่า “อาตมา” นั้น เป็นคำเรียกตัวเองของพระไทย  พระพุทธองค์จะทรงเรียกตัวเองว่า “ตถาคต”  นี่ก็เริ่มมั่วแล้ว

สองพันห้าร้อยปี มนุษย์ และสัตว์ จะได้รับภัยพิบัติครั้งหนึ่งในระยะ ๓๐ ปี

สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะเจอจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาบให้หลับจะตื่น ขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก

ตรงนี้ สงสัยจะอ่านนิทานมากไปหน่อย  มันมีที่ไหนในศาสนาพุทธที่มีการสาปยักษ์ให้เป็นหิน เรามีแต่คำสาปแช่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องของคนธรรมดา พระพุทธองค์ไม่เคยทรงสาปแช่งใคร

แล้วยักษ์หินที่มันถูกสาปอยู่  มันออกจากคำสาปมาได้ยังไง  ก็น่าจะบอกเหตุผลให้รู้กันมั่ง

ใกล้กับ พ.ศ. ๒๕๐๐ ยิ่งทวีกันใหญ่ ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกศาสนา จะรบราฆ่าฟันกัน จนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน  พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ

ต่างฝ่ายต่างทำลาย เหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟ จะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่ง จึงจะเลิกล้ม

ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน  ตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต

อันนี้ น่าจะเขียนขึ้นภายหลัง โดยคนเขียนหมายถึง สงครามโลกครั้งที่ 1 กับ ครั้งที่ 2 ซึ่งก็เขียนไม่ตรงกับความจริง

วิกิพิเดียบอกว่า สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้คนตายประมาณ 40 ล้านคน  สงครามโลกครั้งที่สองประมาณ 40 - 70 ล้านคน ไม่ได้ตายกันถึงครึ่ง และฝ่ายชนะก็ไม่ได้หมดกำลัง 

สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเกิดใหม่

ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ที่ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคต สามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ ผ้ากาสาวพัสตร์  ก็จะรับภัยอันตรายเบาบาง

ตรงนี้ก็เพี้ยนไปอีกแล้ว มั่วไปอีกแล้ว  พระพุทธองค์จะทรงไปสนับสนุนการบูชาพระโพธิสัตว์ในสมัยที่พระองค์เผยแพร่ศาสนาอยู่ได้อย่างไร และผ้ากาสาวพัสตร์ จะช่วยให้ภัยอันตรายเบาบางไปได้อย่างไร

ถ้าเป็นเสื้อเกราะ ก็ว่าไปอีกเรื่องหนึ่ง

แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก

สมณะชีพราหมณ์  จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ  สงครามจะเกิดทั่วทิศ 

ตรงนี้ก็มั่วไปอีก  ตกลงคนเขียนจะเอายังไงกันแน่ 

สงครามนั้นไม่ใช่ภัยธรรมชาติ ที่บรรยายมานั้น เป็นภาพการทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน เป็นภาพของเรือดำน้ำ

พญานาคจะพ่นพิศเป็นเพลง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด

ครุฑจะบินกลับฐาน  คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้า

ผมนี่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับพญานาคพอสมควร ก็ยังไม่รู้ว่า พญานาคท่านไปเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงจะได้พ่นพิษออกมาเป็นเพลง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น